วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562

การโจมตีเพื่อเจาะระบบ

การโจมตีเพื่อเจาะระบบ (Hacking Attacks)
             เป็นการมุ่งโจมตีเป้าหมายที่มีการระบุไว้อย่างชัดเจน เช่น การเจาะระบบเพื่อเข้าสู่ระบบเครือข่ายภายใน ให้ได้มาซึ่ง
ข้อมูลความลับ ซึ่งเมื่อเจาะระบบได้แล้ว จะทาการคัดลอกข้อมูล เปลี่ยนแปลงข้อมูล และทาลายข้อมูล รวมถึงติดตั้งโปรแกรม
ไม่พึงประสงค์ เพื่อให้เข้าไปทาลายข้อมูลภายในให้เสียหาย

                 การโจมตีเพื่อปฏิเสธการให้บริการ (DoS)
              เป็นการมุ่งโจมตีเพื่อให้คอมพิวเตอร์หรือระบบเครือข่ายหยุดการตอบสนองงานบริการใดๆ เช่น หากเซิร์ฟเวอร์ถูกโจมตี
ด้วย DoSแล้ว จะอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถให้บริการทรัพยากรใดๆ ได้ และเมื่อไคลเอนต์พยายามติดต่อ ก็จะถูกขัดขวาง และปฏิเสธ
การให้บริการ เช่น การส่งเมล์บอมบ์ การส่งแพ็กเก็ตจานวนมาก หรือการแพร่ระบาดของหนอนไวรัสบนเครือข่าย

              การโจมตีแบบไม่ระบุเป้าหมาย (Malware Attacks)
              คำว่า Malware เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มโปรแกรมจำพวกไวรัสคอมพิวเตอร์ เช่น หนอนไวรัส (Worm) โทรจัน
(Trojan) สปายแวร์ (Spyware) และแอดแวร์ (Adware) ที่สามารถแพร่กระจายแบบอัตโนมัติไปทั่วเครือข่ายโดยมีจุดประสงค์
ร้ายโดยการแพร่โจมตีแบบหว่านไปทั่ว ไม่เจาะจง เช่น การส่งอีเมล์ที่แนบไวรัสคอมพิวเตอร์ กระจายไปทั่วเมลบ็อกซ์ หากมีการเปิด
อีเมล์ขึ้น และไม่มีการป้องกันระบบเครือข่ายที่ดีพอ จะทำให้ไวรัสสามารถแพร่กระจายไปยังเครือข่ายภายในขององค์กรทันที

               ไฟร์วอลล์ (Firewall)
               ไฟร์วอลล์ ใช้สาหรับป้องกันผู้บุกรุกบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงระบบเครือข่ายส่วนบุคคล 
แต่ต้องการมุ่งโจมตีหรือประสงค์ร่ายต่อระบบอุปกรณ์ไฟร์วอลล์ อาจเป็นเร้าเตอร์ เกตเวย์ หรือคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งซอฟต์แวร์
ไฟร์วอลล์ ซึ่งทาหน้าที่ตรวจสอบ ติดตามแพ็กเก็ตที่เข้าออกระบบ เพื่อป้องกันการเข้าถึงเครือข่ายหน้าที่ของไฟร์วอลล์ จะอนุญาต
ให้ผู้มีสิทธิ์ หรือมีบัตรผ่านเท่านั้นที่จะเข้าถึงเครือข่ายทั้งสองฝั่ง โดยจะมีการป้องกันบุคคลภายนอกที่ไม่ต้องการให้เข้าถึงระบบ 





แหล่งที่มา sites.google.com

โปรแกรมป้องกันไวรัส

ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง ติดตั้งโปแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโอกาส อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ นี่คือ  7  ขั้นตอนในการช่วยป้องกันคุณไม่ให้ติดไวรัสคอมพิวเตอร์
1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
การใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสเป็นสิ่งที่คุณควรทำเป็นอันดับแรก  เพราะโปรแกรมเหล่านี้เป็นเหมือนบอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่ปกป้องเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ  โปรแกรมป้องกันไวรัสจะทำหน้าที่หลักอยู่สามส่วนคือ ป้องกันไวรัสที่จะเข้ามาในเครื่อง  เป็นการตรวจดูไฟล์ที่จะเข้ามาในเครื่องว่าจะเป็นไวรัสหรือไม่ ? ตรวจจับไวรัสที่เล็ดลอดเข้ามา  สแกนไฟล์ที่อยู่ในเครื่องว่าเป็นไวรัสหรือไม่? กำจัด (Delete)หรือกักกัน (Quarantines) ในกรณีที่พบไฟล์ไวรัส  โปรแกรมป้องกันไวรัสจะทำการลบไฟล์นั้นทิ้ง  แต่ถ้าพบว่าเป็นไฟล์ที่มีความเสียง  แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นไฟล์ไวรัสหรือลบไม่ได้  โปรแกรมจะทำการกักกันไฟล์ไม่ให้มีการทำงาน โดยการทำงานในสองส่วนแรกจะใช้การเปรียบเทียบฐานข้อมูลการทำงานของไวรัส (Definition)  กับไฟล์ต้องสงสัยว่าเข้าข่ายที่จะเป็นไฟล์ไวรัสหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการลบหรือกักกันไฟล์ต้องสงสัยต่อไป

2. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง
โปรแกรมป้องกันไวรัสในปัจจุบันมีอยู่หลายประเภท  ตามแต่ที่ผู้ผลิตแต่ละรายจะประกาศสินค้าออกมาแต่ตัวที่สำคัญ ๆ ที่คุณควรรู้จักจะมีอยู่ไม่กี่ตัว นั่นคือ Anti-Virus เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ป้องกันไวรัส รวมไปถึงสปายแวร์ (Spyware) และแอดแวร์ (Adware)  ได้บางส่วน Firewall  เป็นระบบป้องกันการบุกรุกเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาติ  ป้องกันการโจมตีโดยที่คุณไม่รู้ตัว Anti-Spyware  เป็นโปรแกรมที่มีหน้าที่กำจัดโปรแกรมจำพวกสปายแวร์และแอดแวร์โดยเฉพาะ  ซึ่งโปรแกรมที่มีหน้าที่กำจัดโปรแกรมจมีการควบคุมที่ง่าย  ผู้ใช้สามารถเลือกใช้งานได้  โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้มากนัก  โดยทั่วไปโปรแกรมเหล่านี้จะมีแยกขายเป็นตัว ๆ  แต่ก็มีการนำเอาโปรแกรมทั้งหมดมารวมกัน  และเพิ่มระบบรักษาความปลอกดภัยอื่น ๆ   เช่น  โปรแกรมป้องกันสแปมเมล์  (Spam Mail)  หรือโปรแกรมกรองข้อมูลที่ไม่เหมาะสม (Content  Filtering)  เข้ามารวมเป็นชุดโปรแกรม Internet  Security  ซึ่งชุดโปรแกรมนี้จะมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่ดี และครบถ้วนแต่ผู้ใช้ก็ต้องมีความรู้ในการจัดการระบบรักษาความปลอดภัยมากพอสมควร

3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
ในการติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส  หลาย ๆ  คนยังไม่รู้วิธีการติดตั้งที่ถูกต้องนัก  ทำให้โปรแกรมไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรมอย่างถูกวิธีไม่ได้มีวิธีการที่ยุ่งยากอะไรเพียงแค่ลำดับความสำคัญของโปรแกรมให้ถูกก็พอ ขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสนั้น  ควรทำหลังจากที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการเรียบร้อยแล้ว  ซึ่งในขณะนั้นเป็นช่วงที่ระบบมีความสะอาดมากที่สุด  และทำการอัพเดตให้โปรแกรมป้องกันไวรัสมีฐานะฐานข้อมูลของไวรัสล่าสุดจนถึงวันที่ติดตั้งโปรแกรม จากนั้นก็ทำการติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ  ลงไป  เพื่อเป็นการเช็กว่าโปรแกรมเหล่านั้นมีไฟล์ไวรัสแฝงมาหรือไม่  และขั้นตอนสุดท้ายค่อยก็ทำการย้ายไฟล์ข้อมูลกลับเข้ามาเก็บไว้ในเครื่อง อย่างไรก็ตามบางคนอาจจะติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ  ลงไปก่อนก็ได้ไม่ว่ากัน  ถ้ามั่นใจว่าโปรแกรมที่ใช้อยู่มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้  แล้วจึงติดตั้งโปรแกรมติดตั้งไวรัสในขั้นตอนต่อมา  และทำการอัพเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสในทันสมัย  ก่อนที่จะนำข้อมูลเข้ามาเก็บเป็นขั้นตอนสุดท้าย  เพราะโอกาสที่ไวรัสจะแฝงเข้ามากับข้อมูลที่คุณมีอยู่  มีความเป็นไปได้สูง  กว่าไวรัสที่แฝงมากับโปรแกรม

4. อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ
การอัพเดตฐานข้อมูลไวรัสเป็นสิ่งที่ผู้คนมักจะหลงลืมอยู่เป็นประจำ หลาย ๆ  คนยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนักเกี่ยวกับโปรแกรมป้องกันไวรัสว่าเมื่อติดตั้งโปรแกรมไปแล้วจะสามารถป้องกันไวรัสได้ตลอดไป  นั้นถือว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด  โปรแกรมป้องกันไวรัสมีหน้าที่ในการป้องกันไวรัส  แต่ผู้พัฒนาไวรัสเองก็มีการพัมนารูปแบบของไวรัสใหม่ ๆ  ออกมาให้สามารถทำงานทะลุทะลวงโปรแกรมป้องกันไวรัสที่ไม่มีการอัพเดตฐานข้อมูลได้ ถ้าไม่มั่นใจก็ให้คุณเปิดโปรแกรมป้องกันไวรัสขึ้นมา  แล้วมาหาคำสั่ง Updates  เมื่อเจอก็คลิ๊กเลย  โปรแกรมจะทำการอัพเดตฐานข้อมูลให้คุณควรทำอย่าน้อยวันละครั้งถ้าทำได้  แต่ถ้าทำไม่ได้ทุกครั้งที่ต่อเข้าอินเทอร์เน็ตก็ควรทำการอัพเดตทันที  เพราะหากคุณทิ้งไว้นานเกินไป  การอัพเดตจะใช้เวลานานมาก  และบางครั้งในช่วงที่คุณไม่ได้อัพเดต  คุณอาจจะโดนไวรัสเล่นไปแล้วก็ได้
5. เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโอกาส
          โดยทั่วไปโปรแกรมป้องกันไวรัสจะมีอายุการงานประมาณ 1 ปี หลังจากนั้นผู้ผลิตจะออกโปรแกรมป้องกันไวรัสเวอร์ชันใหม่ออกมา บางคนอาจจะคิดว่าเราจะเสียเงินไปซื้อโปรแกรมเวอร์ชันใหม่ทำไม ในเมื่อเวอร์ชันเก่าก็ยังใช้ได้ และยังอัพเดตฐานข้อมูลได้ จริงอยู่ครับที่เมื่อหมดปีคุณยังสามารถใช้งานโปรแกรมเวอร์ชันเก่าได้ แต่โปรแกรมป้องกันไวรัสเวอร์ชันใหม่ที่ออกมาจะมีการพัฒนาระบบการทำงานภายใน เพื่อให้สามารถรับมือกับไวรัสได้ดีขึ้น รวมไปถึงอาจจะมีการเพิ่มฟังก์ชันบองอย่างที่ช่วยให้คุณใช้งานโปรแกรมได้สะดวก ง่าย และปลอดภัยกว่าเดิม เช่น ลดขนาดไฟล์ฐานข้อมูลไวรัสให้มีขนาดเล็ก ทำให้การอัพเดต สามารถทำได้รวดเร็วขึ้น

6. อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
          แม้ว่าคุณจะอัพเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสให้ใหม่อยู่เสมอแค่ไหนก็ตาม แต่ความจริงอย่างหนึ่งที่คุณควรรู้คือ ไฟล์ดัพเดตนี้ก็มีขึ้นหลังจากที่เกิดไวรัสขึ้นแล้ว นั่นหมายถึงคุณก็ยังมีโอกาสติดไวรัสได้ตลอดเวลา การป้องกันอีกอย่างหนึ่งที่คุณทำเองได้ก็คือ ไม่พยายามรับไฟล์แปลกๆ เพราะไฟล์เหล่านั้นอาจจะมีไวรัสแฝงมา ในสมัยก่อนไฟล์เหล่านี้อาจจะส่งมาจากคนที่เราไม่รู้จักแต่ไวรัสสมัยใหม่ก็ฉลาดพอที่จะขโมยรายชื่ออีเมล์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของคนรู้จักของคุณ ดังนั้นอย่าไว้ใจไฟล์ที่ส่งมา ถ้าไม่มั่นใจจะใช้วิธี MSN หรือโทรไปถามก็ได้ครับว่า เพื่อนหรือเจ้านายของคุณส่งไฟล์นี้มาหรือไม่ และคุณควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับไวรัสใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งเว็บไซต์ของผู้ผลิตโปรแกรมป้องกันไวรัสจะมีการอัพเดตข่าวอยู่เสมอๆ

7. ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว
          ติดไวรัสแล้วทำยังไง ก่อนอื่นอย่ากลัวหรือเพิ่งตื่นตกใจไป ลองเช็คอาการที่เกิดขึ้น แล้วใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่ติดไวรัสหาข้อมูลว่า ไวรัสที่เล่นงานคุณชื่อว่าอะไร และมีโปรแกรมแก้ไขไหม (Removal Tools) ถ้ามีก็ดาวน์โหลดมาใช้งาน เพื่อทำการลบไวรัส จากนั้นก็เปิดเครื่องให้อยู่ในระบบ Safa Mode ขั้นตอนต่อไปทำการอัพเดตฐานข้อมูลไวรัสให้ทันสมัยที่สุด แล้วรีบูตเครื่องอีกครั้งตามปกติแล้วทำการสแกนไวรัสในเครื่องอีกครั้ง เพื่อหาไฟล์ไวรัสที่ยังหลงเหลืออยู่แต่ถ้าแก้ไขแล้วยังไม่ดีขึ้นก็ต้องทำใจฟอร์แมตใหม่

Norton

Norton Antivirus คุณสมบัติ      การติดตั้งภายใต้ 1 นาทีและใช้เวลาน้อยกว่า 8 MB ของหน่วยความจำแสงการใช้งาน CPU        ได้อย่...